17 Jun June 17, 2015 by atcreative in Blog, e-Commerce News ประกอบ ด้วยมาตรฐานการให้ข้อมูล กล่าวถึงการแสดงข้อมูลต่างๆ ที่ผู้ลงโฆษณาจำเป็นต้องใช้ หรือมักจะใช้ในการประกอบการตัดสินใจลงโฆษณา ประกอบด้วย 1. รูปแบบการเผยแพร่ข้อมูล 2. ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับเว็บไซต์และผู้ดูแลเว็บ 3. ข้อมูลลูกค้าที่เคยลงโฆษณากับเว็บไซต์ 4. ข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มผู้ชมเว็บไซต์ 5. ข้อมูลเกี่ยวกับค่าสถิติ ความนิยมของเว็บไซต์ 6. ข้อมูลบุคคลติดต่อเมื่อจะลงโฆษณา 7. ข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบและราคาค่าโฆษณา 1. รูปแบบการเผยแพร่ข้อม ผู้ ดูแลเว็บควรจัดทำหน้าเว็บเพจ อย่างน้อย 1 หน้า เพื่อเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ ที่ผู้ลงโฆษณาจำเป็นต้องใช้ เรียกว่า Ad Info Page เรียงตามลำดับ ประกอบด้วย i. ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับเว็บไซต์และผู้ดูแลเว็บii. ข้อมูลลูกค้าที่เคยลงโฆษณากับเว็บไซต์iii. ข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มผู้ชมเว็บไซต์iv. ข้อมูลเกี่ยวกับค่าสถิติ ความนิยมของเว็บไซต์v. ข้อมูลบุคคลที่ให้ติดต่อเมื่อจะลงโฆษณาvi. ข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบและราคาค่าโฆษณา ดังรายละเอียดที่จะได้กล่าวต่อไปในมาตรฐานข้อที่ 2 ผู้ดูแลเว็บควรสร้างลิงค์ไปยัง Ad Info Page โดยให้ลิงค์นั้นปรากฏเห็นเด่นชัดในหน้าแรกของเว็บไซต์ (โฮมเพจ) ชื่อ ลิงค์ไปยังหน้า Ad Info Page ควรสื่อความหมายชัดเจน เช่น “สนใจลงโฆษณา คลิก” “ติดต่อโฆษณา” “Advertisement” “Advertising” เป็นต้น 2. ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับเว็บไซต์และผู้ดูแลเว็บ เป็นข้อมูลทั่วไป เกี่ยวกับเว็บไซต์ เจ้าของ และ / หรือ ผู้ดูแลเว็บ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ อาจประกอบด้วย ชื่อเจ้าของ หรือผู้ดูแลเว็บ อาจรวมถึงประวัติของผู้ดูแลเว็บ ข้อมูลบริษัท ในกรณีที่จดทะเบียนเป็นบริษัท เลขทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (ถ้ามี) ประวัติการก่อตั้ง และการดำเนินงานของเว็บไซต์ (ถ้ามี) รางวัลที่ได้รับ (ถ้ามี) มาตรฐานอื่นๆ ที่เว็บไซต์ปฏิบัติตาม (ถ้ามี) 3. ข้อมูลลูกค้าที่เคยลงโฆษณากับเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ที่กำลังพิจารณาลงโฆษณาได้ทราบว่าเคยมี สินค้า บริการ ใดลงโฆษณากับเว็บไซต์ของเราแล้วบ้าง เป็นข้อมูลที่ทำให้เกิดความเชื่อถือได้มากขึ้นเช่นกัน ชื่อลูกค้ารายที่ 1 i. รายละเอียดเกี่ยวกับแคมเปญโฆษณา ii. ระยะเวลาที่ลงโฆษณา iii. ผลตอบรับ / ผลสำเร็จจากการลงโฆษณา ชื่อลูกค้ารายที่ 2 i. รายละเอียดเกี่ยวกับแคมเปญโฆษณา ii. ระยะเวลาที่ลงโฆษณา iii. ผลตอบรับ / ผลสำเร็จจากการลงโฆษณา ชื่อลูกค้ารายที่ 3 i. รายละเอียดเกี่ยวกับแคมเปญโฆษณา ii. ระยะเวลาที่ลงโฆษณา iii. ผลตอบรับ / ผลสำเร็จจากการลงโฆษณา 4. ข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มผู้ชมเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ที่กำลังพิจารณาลงโฆษณาได้ทราบว่ากลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์ ขาย สินค้า ออนไลน์เป็น ใคร อย่างไร เพื่อจะได้พิจารณาว่าตรงกับกลุ่มเป้าหมายของสินค้า บริการที่จะลงโฆษณาหรือไม่ อย่างไร โดยทั่วไปการจะ บอกว่ากลุ่มผู้ชมเว็บไซต์เป็นใคร นั้นพิสูจน์ได้ยาก จึงแนะนำให้ใช้วิธีการดังต่อไปนี้ สร้างระบบสมาชิก และใช้กลุ่มสมาชิกที่ลงทะเบียนกับเว็บไซต์เป็นตัวแทนกลุ่มผู้ชมเว็บไซต์ สร้างแบบสอบถาม แล้วใช้ข้อมูลจากแบบสอบถามเป็นตัวแทนกลุ่มผู้ชมเว็บไซต์ เว็บไซต์ ขาย สินค้า ออนไลน์ควรนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มผู้ชมเว็บไซต์ในรูปแบบของการสรุป เป็นสัดส่วนร้อยละ ดังต่อไปนี้ กลุ่มผู้ชมของเว็บไซต์ 5. ข้อมูลเกี่ยวกับค่าสถิติ ความนิยมของเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ที่กำลังพิจารณาลงโฆษณาได้ทราบว่าจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์มีมาก น้อยเพียงไร เพื่อจะได้พิจารณาเปรียบเทียบผลที่อาจได้รับกับมูลค่าโฆษณา เว็บไซต์ควรระบุข้อมูลดังต่อไปนี้ จำนวนหน้าเว็บเพจที่ถูกเปิดชม (Page Views) เฉลี่ยต่อเดือน รวมทั้งเว็บไซต์ และแยกย่อยในแต่ละส่วนของเว็บไซต์ จำนวน หน้าผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Unique Visitors) เฉลี่ยต่อเดือน รวมทั้งเว็บไซต์ และแยกย่อยในแต่ละส่วนของเว็บไซต์ ทั้งนี้ค่า Unique Visitors ให้วัดจำนวน IP ที่ไม่ซ้ำกันในช่วงเวลา 1 วัน หรือหากใช้ความถี่อื่นให้ระบุด้วยว่าความถี่ในการวัดผลเป็นเท่าไร (รายวัน ราย 12 ชม. ราย 6 ชม. หรืออื่นๆ) จำนวนสมาชิกลงทะเบียนในระบบทั้งหมด ข้อมูลอื่นๆ (ถ้ามี) โดยระบุ ว่าค่าสถิติดังกล่าว ได้มาอย่างไร จากหน่วยงานกลาง บุคคลที่สาม (Third Party) หรือจากระบบสถิติภายในของเว็บไซต์เอง ถ้าเป็นระบบภายในให้ระบุด้วยว่าใช้ซอฟต์แวร์ใดในการวัดค่าสถิติ อนึ่ง เว็บไซต์ ขาย สินค้า ออนไลน์ไม่ควรใช้ค่าจำนวนครั้งที่ไฟล์ที่เว็บเซิร์ฟเวอร์ส่งไปยังผู้ชม (Hits) เป็นค่าระบุความนิยมของเว็บไซต์ เนื่องจากเว็บเพจหนึ่งหน้ามักประกอบด้วยไฟล์หลายไฟล์ การใช้ค่าดังกล่าวอาจสร้างความเข้าใจผิดต่อผู้ลงโฆษณาได้ 6. ข้อมูลบุคคลติดต่อเมื่อจะลงโฆษณา ควรประกอบด้วย ชื่อ อีเมล์ (ถ้าให้ติดต่อทางอีเมล์ ต้องมั่นใจว่าเป็นอีเมล์ที่ใช้งานได้อยู่เสมอ) หมายเลขโทรศัพท์ ที่ติดต่อได้ หมายเลขโทรสาร (ถ้ามี) ที่อยู่ (อาจเปิดเผยหรือไม่ก็ได้ แต่การเปิดเผยจะช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ลงโฆษณา) เลข ทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (ถ้ามี) ทั้งนี้ เว็บไซต์ ขาย สินค้า ออนไลน์ อาจทำแบบฟอร์มสำหรับแจ้งความต้องการลงโฆษณาด้วยก็ได้ แต่ควรเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวข้างต้นให้เห็นชัดเจนด้วยเช่นกัน 7. ข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบและราคาค่าโฆษณา รูปแบบ ขนาด น้ำหนัก ควรเป็นไปตามมาตรฐานเชิงออกแบบดังกล่าวข้างต้น ควรระบุตำแหน่งของชิ้นโฆษณาให้เห็นชัดเจน และมีภาพตัวอย่างประกอบ ราคา ควรใช้รูปแบบการคิดราคาดังต่อไปนี้ – Cost Per Impression (CPI) คิดราคาต่อการแสดงผลโฆษณา โดยทั่วไปนิยมแสดงราคาต่อ 1,000 ครั้ง (CPM) เช่น ราคา 290CPM หมายถึงค่าโฆษณาเป็น 290 บาท ต่อการแสดงผลโฆษณา 1,000 ครั้งเป็นต้น – Cost Per Click (CPC) คิดราคาต่อจำนวนครั้งที่มีคนคลิกโฆษณา – Fixed Fee (คิดเหมาเป็นรายเดือน) ในกรณีที่คิดเหมา ชิ้นโฆษณาควรยึดติดคงที่ หรือถ้าเป็นโฆษณาเวียน หลายชิ้นงานลงในตำแหน่งเดียวกัน สุ่มแสดงผล (Rotated Banner) ต้องระบุว่าเวียนกี่ชิ้นงาน แต่ไม่เกิน 10 ชิ้นงาน – Cost Per Lead หรือ Commission คิดราคาเมื่อผู้ชมเว็บไซต์ ซื้อสินค้า หรืออย่างน้อยแสดงความต้องการจะซื้อสินค้า ถ้าคุณเตรียมข้อมูลทางการตลาดเรีนยบร้อบแล้วและพร้อมที่จะทำเว็บไซต์ ขาย สินค้า ออนไลน์ ทางเรามีบริการ รับทําเว็บขายของออนไลน์ จัดทำโดยทีมงามมืออาชีพที่จะทำให้ธุรกิจของคุณเป็นที่โด่ดเด่นไม่แพ้ใคร ที่มา : http://www.pawoot.com/online-advertising/