19 Mar March 19, 2015 by atcreative in Blog, e-Commerce News ทั้ง Alibaba และ Amazon ต่างก็เป็นบริษัท e-commerce ชื่อดังที่โลกจับตามอง แต่เจ้าพ่อแดนมังกรและยักษ์ใหญ่เมืองลุงแซมนั้นมีรูปแบบธุรกิจหรือ business model ที่ต่างกัน ความต่างกันนี้เองที่ทำให้ 2 บริษัทมีสถิติและตัวเลขสะท้อนอิทธิพลที่ต่างกัน ซึ่งหลายสถิติแสดงถึงทิศทางการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซได้ชัดเจนอย่างเหลือเชื่อ ผู้รวบรวมสถิติของ Alibaba และ Amazon คือบริษัท Smart Intern China ซึ่งสร้างเป็น infographic เพื่อเปรียบเทียบดีกรีของทั้ง 2 บริษัท รวมถึงความได้เปรียบของทั้งคู่บนรูปแบบธุรกิจที่ต่างกัน Amazon นั้นเน้นรูปแบบธุรกิจ B2C ซึ่งมีการจัดซื้อสินค้าคงคลัง และมีการจัดการระบบจัดส่งสินค้าของตัวเอง ขณะที่ Alibaba เน้นธุรกิจ C2C และ B2B2C ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับ Taobao และ Tmall โดยเน้นการเสริมแกร่งระบบตลาดที่เอื้อต่อการซื้อขายผ่านเว็บไซต์ ขาย สินค้า ออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ ปรากฏว่าแม้จะมีรายได้มากกว่า Alibaba แต่ Amazon ก็มีสัดส่วนการทำกำไรหรือ margin น้อยกว่ามาก จากแผนภาพ จะพบว่า Amazon มีตัวเลขผู้เข้าชมเว็บไซต์มากกว่า จำนวนพนักงานก็สูงกว่า รายได้รวมก็เหนือกว่า แต่ Alibaba มีอัตราการทำกำไรหรือ margin ถึง 50% ซึ่งชนะเลิศเมื่อเทียบกับ Amazon ที่มี margin เพียง 0.94% เท่านั้น เรื่องนี้ผู้ก่อตั้ง Alibaba อย่าง Jack Ma เคยพูดไว้ในงานประชุมหนึ่งว่า รูปแบบธุรกิจ B2C กำลังพบกับความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งแม้ไม่มีการระบุชื่อ Amazon แต่นักสังเกตการณ์เชื่อว่าผู้ก่อตั้ง Alibaba พยายามชี้ให้ผู้ฟังเห็นว่าผลประกอบการยิ่งใหญ่ที่ไม่ทำกำไรนั้นจะเสื่อมมนต์ขลังแน่นอน เพราะในอนาคต ธุรกิจจะไม่ทำกำไรจากยอดรายรับรวมมหาศาล แต่จะทำกำไรจากส่วนต่างคุณค่าของบริการที่ถูกสร้างขึ้น infographic ยังชี้ให้เห็นว่า Alibaba มีโอกาสทำกำไรจากสินค้ามูลค่ามหาศาลที่จำหน่ายบนระบบ เพราะสินค้าที่แพงที่สุดของ Alibaba คือกรรมสิทธิ์ที่ดินที่มีมูลค่าสูงถึง 52 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่สินค้าที่แพงที่สุดบน Amazon คือคัมภีร์ไบเบิ้ลโบราณมูลค่า 5 ล้านเหรียญเท่านั้น จากบทความข้างต้น เชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านก็คงอยากจะประสบความสำเร็จแบบทั้งสองบริษัทนี้ คุณผู้อ่านอาจจะลงนำเทคนิคของพวกเขาไปลองประยุกต์ใช้ดู หรือจะลองแอบเข้าไปดูหน้าตาเว็บไซต์ว่าเขามีอะไรบ้าง เพื่อที่คุณผู้อ่านจะได้นำมาปรับแต่งทำเว็บไซต์ e-commerce ให้สูสีไม่แพ้กัน ติดตาม infographic ฉบับเต็มได้จากด้านล่าง ที่มา : TechinAsia