เปิดเบื้องหลัง “DHL Express” ทำไมถึงเป็น “ผู้นำส่งด่วนระหว่างประเทศ”

เปิดเบื้องหลัง “DHL Express” ทำไมถึงเป็น “ผู้นำส่งด่วนระหว่างประเทศ”
30
Sep

“โลจิสติกส์” (Logistic) ถือเป็นกระดูกสันหลัง (Backbone) ของธุรกิจทุกประเภททั้งการ ทำเว็บไซต์ e-commerce  ไม่ว่าจะเล็ก หรือใหญ่ ยิ่งทุกวันนี้เป็นยุคดิจิทัล ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการซื้อขายไปอยู่บน “อีคอมเมิร์ซ” (e-Commerce) มากขึ้นที่ทำให้ไม่มีเส้นแบ่งพรมแดนประเทศ และอุปสรรคการซื้อขายอีกต่อไป

“eMarketer” คาดการณ์ว่าในปี 2019 มูลค่าธุรกิจ Retail e-Commerce ทั่วโลก จะอยู่ที่ 3,535 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 20.7% และประมาณการณ์ว่าในปี 2023 มูลค่าจะขยับเพิ่มขึ้นเป็น 6,542 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ที่น่าสนใจคือ จากทวีปทั่วโลก “เอเชีย แปซิฟิก” มีอัตราการเติบโตของธุรกิจทาง เว็บไซต์ ขาย สินค้า ออนไลน์ Retail e-Commerce สูงสุด อยู่ที่ 25% ตามมาด้วยลาติน อเมริกา 21.3%, ตะวันออกกลาง และแอฟริกา 21.3%

ยิ่งตลาดอีคอมเมิร์ซทั่วโลกขยายตัวมากเท่าไร สิ่งที่ตามมาคือ “ธุรกิจโลจิสติกส์” ต้องพัฒนาระบบ “E-Logistic” ที่เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และทำให้ “โลจิสติกส์ระหว่างประเทศ” (Cross-border Logistic) เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ปัจจุบันเกิดผู้ให้บริการโลจิสติกส์รายใหม่มากมาย แต่ส่วนใหญ่เป็น Local Company และ Regional Company ที่ให้บริการโลจิสติกส์เฉพาะภายในประเทศ หรือในภูมิภาค แต่สำหรับธุรกิจโลจิสติกส์ระหว่างประเทศที่จัดส่งทั่วโลก เป็นสมรภูมิการแข่งขันของผู้เล่นรายใหญ่ เพราะต้องมีทั้งเงินลงทุนมหาศาล – ศักยภาพความพร้อมของเครือข่าย – เทคโนโลยี – คลังสินค้า

DHL Express

เมื่อเอ่ยถึงบริษัทโลจิสติกส์ระดับโลก หนึ่งในนั้นคือ “DHL” ก่อตั้งในปี 1969 ประเทศเยอรมนี ถึงวันนี้เป็นผู้นำในธุรกิจนี้ ด้วยฐานธุรกิจ 220 ประเทศ มีบุคคลากรกว่า 380,000 คน และมีมูลค่าธุรกิจมากกว่า 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2 ล้านล้านบาท

เริ่มต้นเข้ามาลงทุนใน “ประเทศไทย” เมื่อ 46 ปีที่แล้ว ด้วยธุรกิจ “DHL Express” บริการขนส่งด่วนระหว่างประเทศ ในรูปแบบ Door-to-Door Services ดูแลและบริหารจัดการพัสดุตั้งแต่ต้นทาง ถึงผู้รับปลายทาง

MarketingOops! ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษแม่ทัพหญิงแห่ง DHL Express Thailand

“คุณชนัญญารักษ์ เพ็ชร์รัตน์ กรรมการผู้จัดการ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย)” จะพาเราไปเจาะเบื้องหลังความสำเร็จให้กับโลจิสติกส์ใหญ่รายนี้ ที่ประกอบด้วย

1. Network ทั่วโลก และให้บริการแบบ Door-to-Door Service ตั้งแต่ต้นทาง ถึงผู้รับปลายทาง

2. การขยายฐานเจาะกลุ่มผู้ประกอบการ SME มากขึ้น

เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อขยายฐานลูกค้ามายังกลุ่มผู้ประกอบการ SME หลังจากโฟกัสแต่ลูกค้าองค์กรใหญ่มาตลอด ทำให้ “DHL” ต้องปรับเปลี่ยนองค์กร และ Mindset ให้คิดและดำเนินธุรกิจบน “Customer Centricity”

3. พันธมิตรธุรกิจ

4. เทคโนโลยีที่ปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล

5. บุคลากร

รวมถึงความท้าทายในยุคดิจิทัล ที่การเติบโตของอีคอมเมิร์ซ สร้างโอกาสธุรกิจทาง เว็บไซต์ ขาย สินค้า ออนไลน์ มากมาย แต่ในเวลาเดียวกันก็มาพร้อมกับการแข่งขันของอุตสาหกรรมนี้สูงขึ้นด้วย โดยเฉพาะยักษ์อี คอมเมิร์ซของจีนอย่าง Alibaba ที่เริ่มขยายฐานธุรกิจโลจิสติกส์ไปยังทวีป – ประเทศต่างๆ ทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือ ประเทศไทย

DHL Express Thailand

คุณชนัญญารักษ์ เพ็ชร์รัตน์ กรรมการผู้จัดการ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย)

3 เซ็กเมนต์ใหญ่ธุรกิจโลจิสติกส์

“ธุรกิจโลจิสติกส์” เป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain สำคัญที่ขาดไม่ได้ของธุรกิจทุกประเภท ทุกขนาดธุรกิจ เพราะเกี่ยวพันกับการดำเนินธุรกิจการ ทำเว็บขายของ ตั้งแต่กระบวนการผลิต เช่น จัดซื้อวัตถุดิบ ไปจนถึงส่งมอบสินค้า – บริการไปยังผู้บริโภค

ภายใต้นิยามของโลจิสติกส์ ไม่ได้มีแค่เพียงการรับ-ส่งสินค้าเท่านั้น แต่ยังประกอบด้วยกันหลายส่วน เช่น คลังสินค้า การบริหารจัดการสินค้าคงคลัง การขนส่งสินค้าทางบก – ทางอากาศ – ทางเรือ เพื่อจัดส่งสินค้าทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศ ฯลฯ

Logistic Provider มีทั้งแบบที่ให้ผู้ที่ให้บริการครบวงจร ตั้งแต่ต้นทาง ถึงปลายทาง, ผู้ให้บริการคลังสินค้า และผู้ให้บริการเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของธุรกิจโลจิสติกส์ โดยสามารถแบ่งกว้างๆ ออกเป็น 3 เซ็กเมนต์ คือ

DHL Express

1. โลจิสติกส์ เจาะกลุ่ม Mass Market เซ็กเมนต์นี้จะใกล้ชิดผู้บริโภคมากที่สุด และให้บริการภายหรือพูดได้ว่าเป็นโลจิสติกส์ที่อยู่ในชีวิตประจำวันก็ว่าได้ ตัวอย่างของผู้เล่นในกลุ่มนี้ เช่น ไปรษณีย์ไทย, Kerry Express, Lalamove, LINE MAN

ผู้ให้บริการบางรายในกลุ่มนี้ ไม่ถึงกับเป็นโลจิสติกส์เต็มรูปแบบ แต่เป็นส่วนหนึ่งของโลจิสติกส์ในส่วนของการรับส่งสินค้า เปรียบเป็น “คนกลาง” ในขั้นตอนจัดส่งสินค้าจากผู้ส่ง ถึงผู้รับปลายทาง

2. โลจิสติกส์ให้บริการประสานงาน (Operation) โดยที่ไม่ได้ Own Asset ใดๆ แต่ทำหน้าที่เหมือนกับ Agent ติดต่อประสานงาน เช่น สอบถามลูกค้าถึงจุดหมายปลายทางพัสดุ, ขอค่าเช่าพื้นที่ในเครื่องบินจากสายการบิน, ประสานงานระหว่างประเทศ จากไทย ไปต่างประเทศ

3. โลจิสติกส์ครบวงจร ให้บริการแบบ Door-to-Door Service หรือ End-to-End ตั้งแต่ต้นทาง ถึงปลายทาง และผู้ให้บริการในเซ็กเมนต์นี้มี Asset ของตัวเอง เช่น คลังสินค้า, ยานพาหนะประเภทต่างๆ

DHL Express

“DHL Express” อยู่ในเซ็กเมนต์นี้ ให้บริการครบวงจรตั้งแต่รับของจากลูกค้า กระบวนการพิธีการศุลกากรในประเทศต้นทาง จากนั้นขึ้นเครื่องบินขนส่ง เมื่อถึงปลายทางประเทศนั้นๆ พนักงานของ DHL จะดำเนินการด้าน Customs Clearance และเอกสารให้จนเสร็จ

หลังจากผ่านขั้นตอนศุลกากรแล้ว จะนำของจัดส่งถึงมือผู้รับปลายทาง ซึ่งตลอดทุกขั้นตอน พัสดุ หรือสิ่งของต้องสามารถจัดส่งให้ได้ภายในวัน – เวลาตามที่ให้คำมั่นไว้กับลูกค้า

ประกอบกับ DHL มี Own Asset ของตัวเอง ทั้งคลังสินค้า – ยานพาหนะ เช่น เครื่องบินสำหรับขนส่งโดยเฉพาะ รถบรรทุกขนาดใหญ่ ไปจนถึงยานยนต์ขนาดเล็ก

“ธุรกิจ DHL เป็น Door-to-Door Service เราการวัดและประเมินการทำงานว่าที่ commit การจัดส่งถึงปลายทางภายในเวลาที่กำหนดไว้กับลูกค้า เราสามารถให้บริการตามคำมั่นสัญญาหรือไม่

เช่น บริการ Next Day ในวันรุ่งขึ้น ของต้องส่งถึงผู้รับ หรือในยุโรป ระบุได้ว่าใน 2 วัน เราก็ต้องทำให้ได้ตามที่ commit ไว้กับลูกค้า ซึ่งวันนี้ใน 1 ล้านชิปเม้นท์ เราตอบโจทย์อยู่ที่ 97%”

ในขณะที่ค่าบริการ สามารถแข่งขันได้ คู่แข่งไม่มี Network มากเท่าเรา และไม่มีทีมเข้าไปประกบ เพื่อเคลียร์สินค้า เพราะการเคลียร์สินค้าในต่างแดน เป็นเรื่องยาก

เนื่องจากต้องรู้พิธีการศุลกากรในต่างประเทศ ต้องรู้กฎหมายภาษี ต้องรู้ว่าศุลกากรแต่ละประเทศ คิดภาษีอย่างไร รู้ว่าทำอย่างไรให้ลูกค้าเสียค่าใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น ทั้งภาษี และการขนส่ง เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ อยากเสียค่าใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น และมี Customer Service Hotline 24 ชั่วโมง”

DHL Express Thailand

จาก “ลูกค้าองค์กร” สู่ “ผู้ประกอบการ SME” จุดเปลี่ยนทำให้ DHL ต้องปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่

เชื่อว่าปัจจุบันระดับ Brand Awareness “DHL Express” ในกลุ่มผู้บริโภคไทย องค์กรธุรกิจ ผู้ประกอบการ SME รู้จักเป็นอย่างดี และด้วยความที่เป็นบริษัท Global Logistic ที่อยู่มานาน ทำให้มีชื่อเสียง (Reputation) และการจดจำว่าเป็นโลจิสติกส์ระดับพรีเมียม ที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ในประเทศไทย “ธุรกิจ SME” มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ และในยุคดิจิทัลได้เกิดผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กทาง เว็บไซต์ ขาย สินค้า ออนไลน์ มากมายบนออนไลน์ ก็ยิ่งกระตุ้นให้อีคอมเมิร์ซโต นี่จึงเป็น โอกาสธุรกิจมหาศาลสำหรับธุรกิจโลจิสติกส์ !!

หลังจาก “DHL Express” เน้นกลุ่มลูกค้าธุรกิจใหญ่มาได้สักพัก กระทั่งเมื่อโลก 10 ปีที่แล้ว เริ่มมาทำตลาดกับกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจ SME

การขยายฐานลูกค้ามายังลูกค้า SME ถือเป็น “จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่” ของ DHL Express ประเทศไทย นั่นเพราะต้องปรับนโยบายภายในองค์กร – ปรับ Mindset และกลยุทธ์ธุรกิจ ด้วยการโฟกัสที่ “Customer Centric” จากก่อนหน้านี้เน้นลูกค้ารายใหญ่ และยึดที่องค์กรเป็นหลัก

DHL Express Thailand

หนึ่งในบริการพรีเมียมของ DHL Express คือ Customer Service Hotline เมื่อมีสายลูกค้าโทรเข้ามา พนักงานต้องรับสายให้ได้ภายใน 3 กริ๊ง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า

“ธุรกิจประเทศไทยเติบโตจากผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรก่อน กระทั่งต่อมาไทย เริ่มรับจ้างผลิตให้กับแบรนด์ต่างๆ (OEM) ช่วงเวลานี้ทำให้เกิดธุรกิจ SME ประเทศไทยเติบโตขึ้นมา ซึ่งธุรกิจ SME คิดเป็น 60% ของ GDP ประเทศ

DHL Express เห็นว่าทิศทางของตลาดประเทศไทยดังกล่าว เมื่อ 10 ปีที่แล้วจึงได้ขยับขยายเซ็กเมนต์เข้ามาตอบโจทย์ SME จากตอนเริ่มต้นธุรกิจในประเทศไทยใหม่ๆ เราจับธุรกิจใหญ่ ได้ดีลใหญ่ และแต่ก่อนเรา centric ที่ตัวเรา เพราะมองว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ใครๆ ก็ต้องมาง้อ ไม่มีใครที่จะมีครื่องบินส่งของทั่วโลกได้แบบเรา พูดไทยคำ อังกฤษคำ ติดต่อยาก ทำงานลำบาก ต้องขอค้ำประกัน

ในขณะที่การทำตลาดลูกค้า SME เราต้องปรับกระบวนการทำงานใหม่ให้เป็น “Customer Centric” มากขึ้น โดยทำความเข้าใจการทำธุรกิจของผู้ประกอบการ SME และความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ อีกทั้งวันนี้ตลาดเปลี่ยน “ดิจิทัล” ทำให้คนหันมาอยู่บนออนไลน์มากขึ้น ผู้ประกอบการ SME ไปอยู่บนแพลตฟอร์มมือถือ คนเปลี่ยนไปธุรกรรมบนออนไลน์

เช่น คนขายของออนไลน์ มีออเดอร์จากสิงคโปร์เข้ามา หรือมีออเดอร์จากเกาหลีเข้ามา จะส่งสินค้าไปปลายทาง ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ไม่ได้ส่งสินค้าไปต่างประเทศเป็นประจำ จึงไม่ได้อยากเป็น Account ประจำ

ถ้าเราไม่ปรับเปลี่ยนองค์กรให้เป็น Customer Centric ไม่ทำ Digital Transformation ภายในองค์กร ไม่มี Digital Process คนไม่เปลี่ยน Mindset เราจะไม่สามารถจับตลาดได้ทัน”

DHL Express

“ค่าส่งแพง” Perception ลูกค้าธุรกิจรายย่อย โจทย์ใหญ่ที่ต้องเร่งแก้

Reputation ของ “DHL Express” คือ บริการพรีเมียม เป็นสิ่งที่ลูกค้ายอมจ่ายค่าส่ง เพื่อความมั่นใจในการจัดส่งของได้อย่างปลอดภัย และตรงตามเวลาแม่นยำ

อย่างไรก็ตามเมื่อ “DHL Express” ขยายมากลุ่มลูกค้า SME มากขึ้น พบว่าหนึ่งในความแตกต่างของลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ กับลูกค้าผู้ประกอบการธุรกิจ SME คือ ธุรกิจรายย่อย จะ concerns ต้นทุนค่าส่งสินค้า และด้วยความที่ DHL Express เน้นบริการพรีเมียม และลูกค้าองค์กรใหญ่มาก่อน ทำให้ Brand Perception ทั้งในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจ SME และผู้บริโภคทั่วไป มองว่า ค่าส่งแพง!

ตรงนี้เองเป็น “โจทย์ใหญ่” ที่ DHL Express กำลังสร้าง Brand Perception ในมุมนี้ใหม่ โดยยังคงรักษาความแข็งแกร่งในชื่อเสียง “บริการพรีเมียม”

DHL Express

“เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผู้ประกอบการ SME รวมถึงผู้บริโภคทั่วไป มองเราเป็น Premium Brand เป็นแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ และมอว่าค่าบริการเราแพง ซึ่งขณะนี้เรากำลังอยู่ระหว่างสร้าง Perception ใหม่ในเรื่องค่าบริการแพง ด้วยการสื่อสาร เปิดตัวบนออนไลน์มากขึ้น และมีโปรโมชั่นนำเสนอให้กับลูกค้ากลุ่มนี้

อย่างวันนี้ ส่งของไปอเมริกา น้ำหนัก 1 กิโลกรัม ราคาประมาณ 1,000 กว่าบาท และเรามีโปรโมชันพิเศษ ที่ออกมาเพื่อเจาะลูกค้ากลุ่ม SME โดยเฉพาะ บวกกับเราให้บริการโลจิสติกส์แบบ Door-to-Door ทำให้เราสามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้ได้มากขึ้น”

“พันธมิตรธุรกิจ” เสริม Business Ecosystem แข็งแกร่ง และขับเคลื่อนสู่ยุค “E-Logistic”

ทิศทางของ “อีคอมเมิร์ซ” ทั่วโลกยังคงเป็นธุรกิจ Rising Sun เมื่อเป็นเช่นนี้ภายในระบบนิเวศธุรกิจของ เพราะฉะนั้นใน Business Ecosystem ของ “DHL Express” มี “แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ” เป็นพันธมิตรธุรกิจ โดยที่ “DHL Express” ทำ E-Logistic เชื่อมต่อแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างๆ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า แม้อีคอมเมิร์ซ จะทำให้การซื้อขายสะดวกสบาย และง่ายดาย แต่สำหรับกระบวนการส่งมอบสินค้าจากผู้ขายไปยังผู้รับ ยังคงต้องอาศัยวิธีการขนส่งอยู่ โดยกระบวนการขนส่งดังกล่าวจำเป็นต้องเป็นระบบ “E-Logistic” ที่เชื่อมต่อแพลตฟอร์มออนไลน์เดียวกันกับระบบอีคอมเมิร์ซ เพื่อให้การจัดส่งสินค้า เกิดขึ้นได้ทันทีหลังเสร็จสิ้นการซื้อขายและถึงมือลูกค้าอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และตรวจสอบได้

เมื่อเชื่อมโยงกันมากขึ้นจะก่อให้เกิดเป็นห่วงโซ่อุปทานในรูปแบบใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม ซึ่งก็คือ ห่วงโซ่อุปทานอีคอมเมิร์ซ ที่ประกอบด้วย E-marketplace – ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-payment) – ระบบ E-Logistic

ห่วงโซ่อุทานนี้ มีแนวโน้มขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเต็มไปด้วยโอกาสมากมายสำหรับธุรกิจโลจิสติกส์ที่สามารถเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain อีคอมเมิร์ซ

ปัจจุบัน “DHL Express” มีพันธมิตรในกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ทั้ง E-Marketplace เช่น Amazon, ebay, Shopee / เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของแบรนด์ หรือผู้ประกอบการ SME เอง / ผู้ประกอบการที่ไม่มีเว็บไซต์ของตนเอง ใช้วิธีฝากขาย / แบรนด์ผู้ผลิตรายใหญ่ระดับโลก ที่ต้องการจำหน่ายสินค้าผ่านออนไลน์ตรงถึงผู้บริโภค เช่น Apple, Nike, Adidas และแบรนด์ผู้ผลิตในไทย เช่น Jaspal ที่ต้องการขยายไปตลาดต่างประเทศ

นอกจากนี้ “DHL Express” ได้ผนึกกำลังกับ DHL eCommerce และเชื่อมต่อกับพันธมิตรผู้ให้บริการ Local Logistic เพื่อรับส่งพัสดุในประเทศ

DHL Express

“DHL มีพันธมิตรธุรกิจจำนวนมาก แต่ละประเทศมี Local Partner ไม่เหมือนกัน อย่างเมืองไทย เราเชื่อมต่อกับโลจิสติกส์ในไทยหลายราย เช่น ไปรษณีย์ไทย, Kerry Express, นิ่มซี่เส็ง, LINE MAN

ขณะเดียวกันในกลุ่ม DHL มี DHL eCommerce (ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรแก่ลูกค้าอีคอมเมิร์ซ ทั้ง B2C และ C2C จัดส่งภายในประเทศ) เช่น การจัดส่งของในต่างจังหวัด เราใช้ DHL eCommerce และไปรษณีย์ไทย

หรือในระดับโลกเราเป็นทั้งพันธมิตร และคู่แข่งกับ Amazon เพราะ Amazon ใช้บริการโลจิสติกส์เรา ขณะเดียวกันก็ซื้อเครื่องบินขนส่งเอง

DHL Express

เหตุผลที่ต้องมีพันธมิตรในธุรกิจโลจิสติกส์ด้วยกันเอง เพราะทุกวันนี้ธุรกิจโลจิสติกส์เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต ในอดีตต่างคนต่างทำ และแข่งกัน แต่ทุกวันนี้ตลาดอีคอมเมิร์ซใหญ่มาก และมี Demand การจัดส่งทั้งระหว่างประเทศ และภายในประเทศสูง ไม่มีใครสามารถเอาทั้งตลาดไปได้คนเดียว ขณะเดียวกันผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซ หรือ SME ต้องการต้นทุนต่ำ

ดังนั้นโลกของโลจิสติกส์ ต้องสร้าง Ecosystem เชื่อมกัน ถ้าทำธุรกิจคนเดียว ไม่เชื่อมต่อกับใคร ส่วนใหญ่จะไม่รอด เพราะในโลกออนไลน์ เวลาผู้บริโภคเข้ามาที่ Touch Point หนึ่งบนออนไลน์ ผู้บริโภคไม่เห็นระบบหลังบ้านว่ามีอะไรบ้าง

ในระบบหลังบ้านของอีคอมเมิร์ซ มีพาร์ทเนอร์เต็มไปหมดที่เชื่อมต่อกัน ทั้งโลจิสติกส์ – ผู้ให้บริการระบบชำระเงินต่างๆ – ระบบวิเคราะห์ข้อมูล เพราะฉะนั้นเบื้องหลังคือ Ecosystem ที่เชื่อมต่อกัน และ DHL ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เชื่อมต่อ

DHL Express

“เทคโนโลยี” สร้างความสะดวกให้ลูกค้า และลดต้นทุนธุรกิจ  

หนึ่งในหัวใจความสำเร็จของ “โลจิสติกส์” ที่ขาดไม่ได้ คือ การพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม ทั้งระบบการทำงานภายในองค์กร และเทคโนโลยีลูกค้า เพื่อตอบโจทย์ประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ

เมื่อช่วงต้นปีนี้ “DHL Express Thailand” เปิดตัว “iExpressByDHL” แพลตฟอร์มขนส่งด่วนระหว่างประเทศแบบ end-to-end ครบทุกขั้นตอนการให้บริการ และจบในแพลตฟอร์มเดียว สำหรับผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซ ทั้งผู้ขายในระยะตั้งต้น – ร้านค้าที่เป็น Social Commerce และกำลังต้องการขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศ

ความน่าสนใจของแพลตฟอร์มใหม่นี้ อยู่ตรงที่ริเริ่มจากทีมงาน “DHL Express ประเทศไทย” จากการเห็นว่าไทยเป็นประเทศที่ใช้ Social Media และโทรศัพท์มือถือมาก ทำให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ บนสื่อสังคมออนไลน์ หรือที่เรียกว่า Social Commerce เติบโต มีผู้ประกอบการรุ่นใหม่เข้ามาต่อเนื่อง และหลายรายต้องการขยายตลาดต่างประเทศ

ประกอบกับต้องการตอบโจทย์ Pain Point ลูกค้ากลุ่มนี้ที่ยังขาดประสบการณ์ด้านการขนส่งระหว่างประเทศ และมองว่ามีขั้นตอนยุ่งยาก จึงได้พัฒนา “iExpressByDHL” และขณะนี้มี DHL Express ประเทศอื่นเริ่มเอาแพลตฟอร์มนี้ไปประยุกต์ให้กับตลาดของตัวเอง

DHL Express Thailand

“ธุรกิจโลจิสติกส์ เน้น Efficiency ของบริการ – ต้นทุน – กำไร และการพัฒนา Innovation ดังนั้นวิธีการทำงานของเรา เน้น “Innovation + Productivity + Efficiency” เป็นหลัก ด้วยการนำนวัตกรรม – เทคโนโลยีดิจิทัล มาพัฒนาประสิทธิภาพ และระบบการทำงาน เพื่อแก้โจทย์ให้กับลูกค้า ขณะเดียวกันเราต้องมั่นใจด้วยว่าต้นทุนของเรา สามารถแข่งขันได้

เราใช้ทั้ง Robotic, Live Chat, Chatbot, AI, AR (Augmented Reality) และ VR (Virtual Reality) เช่น ที่ Hub มีเอกสารของลูกค้าที่เราต้องเดินพิธีการ แล้วในขั้นตอนมี Repeat Process ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 นาที พอเราเอา Robotic มาใช้ ให้เรียนรู้การทำงาน และทำได้ใน 1 นาที ช่วยลดต้นทุนได้เลย

ใช้ Chatbot สำหรับคำถามที่มีเข้ามาบ่อยๆ โดยได้มาจาก AI เรียนรู้ในขั้นตอน Customer Service และเทคโนโลยี VR ใช้ในการฝึกอบรมพนักงานคูเรียร์ ให้เข้าใจกระบวนการโลจิสติกส์ตั้งแต่ต้น จนจบ และได้เรียนรู้การส่งของ DHL ต่างประเทศ”

DHL Express

สร้าง Leadership Culture เพราะคน คือ Last mile ที่สัมผัสกับลูกค้า

ปัจจุบัน DHL Express มีพนักงานกว่า 120,000 คนทั่วโลก ในจำนวนนี้เป็น DHL Express Thailand 1,500 ล้านคน ติดอันดับ 6 สถานที่ทำงานยอดเยี่ยมในระดับโลกจากการจัดอันดับ Great Place to Work และอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชีย ปัจจัยสำคัญมาจากวัฒนธรรมองค์กร ที่เน้นพัฒนาศักยภาพของพนักงาน เพื่อให้พนักงานปรับตัว มีทักษะเพิ่มขึ้น สามารถทรานส์ฟอร์มได้

“DHL Express มี Leadership Culture เพื่อให้เราสามารถขับเคลื่อนทั้งองค์กรได้ต่อเนื่อง ไม่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นโลกเก่า หรือโลกดิจิทัล ซึ่งคำว่า Leadership ไม่ได้หมายถึงผู้บริหารอย่างเดียว แต่เราสร้างแพลตฟอร์มที่เป็น Leadership for 21 century ว่าถ้าคุณจะเป็นผู้นำสมัยใหม่ ยุคมิลเลนเนียล คุณต้องพูดอย่างไร ต้อง encourage ทีมอย่างไร ต้อง coaching ทีมอย่างไร เราสอนเรื่องพวกนี้

ขณะเดียวกันเราฝึกอบรมพนักงาน Courier ในไทยมี 300 กว่าคน ซึ่ง Courier ของ DHL Express Thailand ส่วนใหญ่จบปริญญาตรี และพูดภาษาอังกฤษได้ ให้ผลตอบแทนค่าจ้างที่ดี และมีอุปกรณ์การทำงานให้เขาได้ทำงานสะดวก

DHL Express

การทรานส์ฟอร์มองค์กร หลายที่เจอว่าคนเก่าทรานส์ฟอร์มไม่ได้ แต่จริงแล้ว ธุรกิจต้องมีส่วนผสมทั้งคนเก่า ที่เชี่ยวชาญในกระบวนการ มีประสบการณ์ และคนรุ่นใหม่ โดยให้คนเก่าได้เรียนรู้สิ่งใหม่ เพื่อให้เขาทรานส์ฟอร์มตัวเองได้ เพราะธุรกิจยังต้องมีทั้ง Physical – Digital เพราะเราเชื่อว่าคน คือ หัวใจขององค์กร เขาคือ Last mile ที่สัมผัสกับลูกค้า” คุณชนัญญารักษ์ สรุปทิ้งท้าย

DHL Express Thailand

ที่มา : https://www.marketingoops.com