Video Content จะลงที่ไหนดีระหว่าง Facebook กับ Youtube

21
Jul

รับทําเว็บไซต์ ขายสินค้า

ในยุคนี้ที่คนนั้นชอบเสพ content กันมากมาย และส่งต่อ content ที่ชอบกัน รูปแบบ Content หนึ่งที่กำลังเป็นความนิยมในหลาย ๆ แบรนด์ คือรูปแบบ Video Content แถมในตอนนี้ประเทศไทยนั้นมี Youtube ประเทศที่เพิ่งเปิดตัวได้มา พร้อมกับเปิดตัว Feature Youtube ทั้งสำหรับแบรนด์ นักการตลาดและคนทำ content กับ Facebook ที่เพิ่งประกาศ Function Video ที่พร้อมจะชนกับ Youtube ในตอนนี้ คนทำ Video Content เพื่อการโฆษณา หรือทำโฆษณาลงในโลกออนไลน์จะเลือก Platform ไหนดีในการทำให้คลิปเรานั้นมีคนดูและมีคนเห็นคงเป็นเรื่องตัดสินใจยากทีเดียว วันนี้ผมจะลองเอาข้อมูลที่ศึกษามาเล่าให้ฟังเพื่อเลือกกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการทำโฆษณาผ่าน Video Content และเลือก Platform ให้ถูกหรือดีที่สุด
ในระบบ Video Platform นั้นในจริง ๆ แล้วมีหลาย Platform มาก เช่น Vimeo, Dailymotion และอื่น ๆ มากมาย แต่ที่ประเทศไทยเอง Youtube นั้นเป็นเจ้าที่ครองตลาดของไทย ซึ่ง Youtube ได้เคยเปิดเผยสถิติว่า ประเทศไทยนั้นเป็นประเทศที่ดู Youtube ติดอันดับ top ten ของโลก ซึ่งทำให้ปี 2014 ประเทศไทยเลยมี Youtube ของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และมี Product หลายอย่างของ Youtube ที่เข้ามาให้นักการตลาดและคนทำ Content ได้เลือกใช้ เช่น Youtube Ads แบบต่าง ๆ รวมทั้ง Brand Channel อีกด้วย อีกทั้งยังมีระบบแบ่งปันรายได้ให้คนทำ Content เพื่อเป็นแรงจูงใจในการสร้าง Content ดี ๆ เข้ามาใน Youtube ให้คนได้ดูกัน โดยในอดีตนั้นนักการตลาดที่ทำ Video Content ออกมา นักการตลาดจะโปรโมทคลิปนั้น ๆ ด้วย 3-4 วิธีด้วยกัน คือ

  1. ใช้ โฆษณาใน Youtube นั้นโปรโมท
  2. ใช้ คลิปนั้นมา มาลิงก์ใน Facebook
  3. ใช้ Influencer หรือ Page ดัง ๆ ใน Facebook ช่วยโปรโมท
  4. ใช้ Google Display network หรือ Highlight คลิปตามเว็บต่าง ๆ

ซึ่งวิธีการเลือก Target นั้นก็ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของคลิปว่าอยากได้อะไร เช่นอยากได้คนเห็นเยอะ ๆ หรืออยากให้ได้โดนตามกลุ่มเป้าหมาย ซึ่ง อาจจะใช้ Youtube Dashboard ในการดูกลุ่ม Target หรือเลือกตาม Keyword/Catagory เว็บที่คนสนใจ หรืออาจจะใช้ Comscore เพื่อหาเว็บไซต์ที่จะเอาคลิปไปลง แต่ในทางเลือกหนึ่งเพื่อให้คลิปคนเห็นเยอะ ๆ คือการเอามาลงใน Facebook แล้วอัดด้วย Ads เช่น Page Post ซึ่งก็ได้ผลดีเรื่อยมา จนวันหนึ่ง Facebook นั้นมองเห็นว่าคนนั้นโพสวิดีโอลงใน Facebook ค่อนข้างเยอะ เลยรู้ว่า Video ใน Facebook นั้นมีศักยภาพที่จะโตเป็น Platform ที่มาแข่งกับ Youtube ได้ เพราะรายได้โฆษณาของ youtube ในปี 2014 นั้นอยู่ที่ 6 พันล้านดอลลาร์ Facebook เลยเริ่มสร้าง Platform Video ตัวเองมาแข่งกับ Youtube พร้อมประกาศว่า Organic Reach ในโพสรูปแบบต่าง ๆ นั้นจะมี Reach ที่ลดลง เมื่อเทียบกับ Video ที่จะโพสขึ้นไปแบบ Native ที่จะได้ Reach มากกว่า และนี่คือการประกาศสงครามกับ Youtube โดยตรงและสร้างความหนักใจกับนักการตลาดและโฆษณาว่าจะเลือก Platform ไหนในการโพสดี

รับทําเว็บไซต์ ขายสินค้า

จากข้อมูลล่าสุดของ ComScore ในส่วนแบ่งตลาด video platform ในปี 2013 เทียบกับ 2014   พบว่า youtube มีส่วนแบ่งลดลงเมื่อเทียบกับ facebook ที่มีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้น และจากตัวเลขจาก BusinessInsider ที่ร่วมกับ Socialbakers ก็ได้ข้อสรุปออกมาคือ การลดลงของการเอาวิดีโอของ Youtube มาโพสใส่ Facebook ลดลงถึง 4 เท่า พร้อมกับ View ของ Facebook ที่เพิ่มเป็น 4 พันล้านวิว จาก 1 พันล้านวิวใน 6 เดือน แต่นอกจากนี้ยังข้อมูลที่น่าสนใจคืออัตราการแชร์ของคลิปวิดีโอนั้นทาง Youtube นั้นยังเป็นต่อ Facebook อยู่ ซึ่งนี้เกิดจากพฤติกรรมการชมของมนุษย์เรานั้นเอง ส่วน Facebook จะได้ในแง่ของ Interaction ต่าง ๆ เช่น Like หรือ Comment  และนี่เองจะเป็นวิธีการคิดในการเลือก Platform ของในการโพสวิดีโอ

โดยทั่วไปแล้ว ถ้างานครีเอทีฟหรือคลิปวิดีโอของเรานั้นดีจริง ไม่ว่า Platform ไหนก็สามารถไปอยู่และทำงานได้อย่างดี แต่หากคลิปเราไม่ใช่คลิปที่จะไวรัลได้ต้องมีการวางกลยุทธ์เพื่อให้เลือก Platform ได้ถูก

  • Youtube นั้นจะเหมาะกับวิดีโอที่ยาว ๆ และมีการใช้เวลาในการรับชม เพราะการที่คนเข้ามาใน Youtube นั้นมีความตั้งใจเข้ามาดูวิดีโออยู่แล้ว การเจอวิดีโอที่มีความยาวนั้นเป็นเรื่องปกติของการรับชม สามารถสร้างวิดีโอที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้หลากหลาย เช่นความสนุก ความรู้ หรือบันเทิง  และสามารถทำให้วิดีโอนั้นกระจายตัวไปยัง Platform อื่น ๆ ได้ง่ายกว่า เพราะด้วยระบบแชร์ลิงก์หรือ Embed คลิป แต่กาหวิดีโอนั้นเป็นโฆษณาแล้วละก็ 5 วินาทีแรกเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องบอกให้คนรู้ และสร้างความตื่นตาให้คนดูจนจบได้
  • Facebook นั้นโดยระบบ Platform นั้นเป็น Social คนที่ใช้ Facebook นั้นคาดหวังว่าเข้ามาแล้วจะเข้ามาปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ หรือโพสต่าง ๆ และโดยทั่วไปนั้นการใช้งาน Facebook จากสถิติล่าสุดคือมือถือนั้นเป็นเครื่องมือเข้ามาเป็นส่วนใหญ่ ทำให้คลิปวิดีโอที่โพสเข้าไป นั้นต้องดีจริงเพื่อจะทำให้นิ้วมือนั้นหยุดการกวาดและสายตาหยุดดูคลิปได้ ซึ่งวิดีโอนั้นยังตค้องมีความสั้นเพราะคนไม่ได้ตั้งใจจะดูคลิปนาน ๆ เท่า Youtube

ฉะนั้นการทำวิดีโอนั้น ถ้าสามารถทำให้เพื่อเหมาะสมกับ Platform ได้จะดีมาก เช่น Youtube เป็นวิดีโอที่ยาวหรือเป็นเรื่องราว และ Facebook นั้นตัดวิดีโอให้สั้นลง และตัดต่อวิดีโอให้น่าสนใจมากขึ้น  ซึ่งนั้นคือการทำวิดีโอเพื่อให้เหมาะสมกับทั้ง 2 Platform เพื่อสร้างการเข้าสู่กลุ่มเป้าหมายให้ดีที่สุด แต่หากต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง ต้องคิดถึงเรื่องวัตถุประสงค์

  • ถ้าเน้นวิวหรือยอดชม Facebook จะให้ยอดชมง่ายกว่า เพราะ Facebook นับยอดชมวิดีโอที่ 3 วินาที แต่ Youtube นับยอดชมที่ 30 วินาที
  • ถ้าเน้นเรื่อง Share ไปยังที่อื่น ๆ ให้เลือก Youtube เพราะระบบของ Youtube ทำให้การแชร์ลิงก์ไปยัง Platform อื่น ๆ ง่ายกว่า Facebook
  • ถ้าเน้นเรื่องปฏิสัมพันธ์ภายใน Platform ให้ไปที่ Facebook เพราะ Facebook นั้นคือระบบ Social และทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์ เช่น Like และ Comment ได้ง่ายกว่า
  • ถ้าเน้นเรื่อง Keyword/กลุ่มความสนใจ การกระจายตัว Youtube จะดีกว่า เพราะสามารถนำคลิปนั้นไปทำ GDN (Google Display Network) ได้ด้วย
  • ถ้าเน้นเรื่องพฤติกรรม คนกลุ่มเฉพาะมาก ๆ Facebook จะเป็นทางเลือกที่ดี เพราะสามารถเจาะกลุ่มด้วยพฤติกรรมของคนได้

ทั้งนี้ตอนนี้สงครามระหว่าง 2 Platform นี้ต้องดูกันยาว ๆ ว่าใครจะชนะเด็ดขาด และนักการตลาดตอนนี้ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการทำทั้ง 2 ที่ให้มีสื่อของนักการตลาดนั้นอยู่ให้ครบแทน และะลองมองดูงานครีเอทีฟของวิดีโอของนักการตลาดเองและเลือกจากว่าวิดีโอนั้นควรจะทำให้เหมาะสมอย่างไรกับ Platform ต่าง ๆ และวิธีที่เราจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แบบต่าง ๆ อย่างไร

สุดท้ายนี้การทำ  Video Content  คงเป็นตัวเลือกหนึ่งในการโปรโมทสินค้าที่จะขาย เว็บไซต์ ขาย สินค้า ออนไลน์ ซึ่งเป็นการเข้าถึงลูกค้าด้วยวิธีที่น่าสนใจมากๆอีกวิธีหนึ่ง และหากท่านใดสนใจมีเว็บไซต์ ขาย สินค้า ออนไลน์ สำหรับธุรกิจของท่าน ทางเรามีบริการ รับทําเว็บไซต์ ขายของออนไลน์ ให้ท่านได้เลือกใช้บริการ

ที่มา : http://www.marketingoops.com/