ลงทุนครั้งใหม่ Rakuten ลงทุนเทเงิน 350 ล้านดอลล์

ลงทุนครั้งใหม่ Rakuten ลงทุนเทเงิน 350 ล้านดอลล์
4
Apr

ถือเป็นอีกการลงทุนครั้งสำคัญของเจ้าพ่ออีคอมเมิร์ซญี่ปุ่นอย่าง Rakuten ที่เทเงินกว่า 350 ล้านเหรียญสหรัฐลงทุนในบริการเช่ารถสัญชาติดูไบนามว่า Careem โดย Careem ประกาศว่าเป็นการลงทุนในหุ้น series D ซึ่ง Rakuten จับมือกับ Saudi Telecom

แม้ข่าวนี้จะถูกประกาศตั้งแต่ต้นสัปดาห์ แต่ก็ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจไม่เปลี่ยนแปลง เพราะ Rakuten คือเจ้าพ่ออีคอมเมิร์ซที่พยายามมองหาตลาดใหม่เพื่อเติบโตในวันที่ธุรกิจ ทําเว็บ e-commerce ของตัวเองเริ่มทรงตัว ซึ่งการวางเดิมพันใน Careem นั้นสะท้อนว่า Rakuten มองเห็นโอกาสทองรออยู่ในตะวันออกกลาง

เหตุที่สรุปได้เช่นนี้คือเพราะ Careem เป็นคู่แข่งรายสำคัญของ Uber ในตลาดตะวันออกกลาง ปากีสถาน และตุรกี เทียบกันแล้วมีศักดิ์ศรีไม่ต่างจากบริการ Grab ที่แข่งขันกับ Uber อย่างหนักในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะนี้ให้บริการใน 47 เมือง การเพิ่มทุนครั้งล่าสุดมีมูลค่ากว่า 60 ล้านเหรียญสหรัฐในพฤศจิกายนปี 2015

Rakuten ประเมินแล้วว่าตลาดตะวันออกกลางคือพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ตลาดแอปพลิเคชันเช่ารถจะมีเงินสะพัดมหาศาล เพื่อรับการเติบโตนี้ Rakuten กลายเป็นบริษัทญี่ปุ่นรายเดียวที่ร่วมวงกับ Saudi Telecom ซึ่งลงทุนใน Careem มาก่อนหน้านี้แล้วภายใต้ชื่อกลุ่มทุน STC Ventures พร้อมด้วยกลุ่มทุนอิสระอื่นที่ส่วนใหญ่ยังเป็นอาหรับทั้ง Abraaj Capital และกลุ่ม Al-Tayyar Travel Group จากซาอุดิอาระเบีย

อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินลงทุน 350 ล้านเหรียญในการเพิ่มทุนรอบนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนเพิ่มทุนมูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่ง Careem ไม่เปิดเผยว่าจะใช้เวลาเท่าใดจึงจะระดมทุนได้ตามเป้าที่ตั้งไว้

สำหรับ Careem นั้นเป็นแอปพลิเคชันเรียกรถรับจ้างที่ก่อตั้งในปี 2012 โดย Mudassir Sheikha และ Magnus Olsson ซึ่งมีดีกรีเป็นอดีตที่ปรึกษาด้านการจัดการที่บริษัทวิจัยชื่อดัง McKinsey วิสัยทัศน์ด้านการจัดการของผู้บริหารทำให้ Careem มีความโดดเด่น จนล่าสุด การสำรวจโดยบริษัทวิจัย SimilarWeb เมื่อสิงหาคมที่ผ่านมา พบว่า Careem เป็นบริการที่ได้รับความนิยมมากกว่า Uber ในตลาดซาอุฯ ปากีสถาน และสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE)

ปัจจุบัน ตลาดรับทำเว็บไซต์ e-commerce และ รับทำ online shop เติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะธุรกิจเล็กไปจนถึงธุรกิจใหญ่โต ก็ต้องมีความเกี่ยวข้องการกับทำ e-commerce ด้วยกันทั้งนั้น และในภายภาคหน้าธุรกิจนี้จะเป็นที่น่าจะตามองมากขึ้นอย่างแน่นอน

ที่มา : http://thumbsup.in.th